Contents
โดนทั้งพี่ทั้งน้อง สุภโชค & ศุภณัฏฐ์ | ศุภชัย ตั้งตรงจิตร โย.
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ศุภชัย ตั้งตรงจิตร โย หรือข่าวที่เกี่ยวข้องอื่นๆ โปรดไปที่: เรา การกระทำ
โดนทั้งพี่ทั้งน้อง สุภโชค & ศุภณัฏฐ์ และรูปภาพที่เกี่ยวข้องศุภชัย ตั้งตรงจิตร โย
โดนทั้งพี่ทั้งน้อง สุภโชค & ศุภณัฏฐ์
**กดปุ่ม Subscribe มุมขวาล่าง ทุกคลิปเป็นลิขสิทธิ์ของสโมสรบุรีรัมย์ยูไนเต็ด แต่เพียงผู้เดียว ติดตามเราได้ที่เว็บไซต์ Facebook และ Instagram www.BuriramUnited.com www.facebook.com/BuriramUnitedFC www.instagram.com/BuriramUnitedOfficial www.facebook.com/BuriramUnitedInternationalCircuit.
>>> สามารถหาข้อมูลที่น่าสนใจอื่นๆ ได้ที่นี่ https://chewathai27.com/
แบ่งปันที่นี่
ศุภชัย ตั้งตรงจิตร โย – การค้นหาที่เกี่ยวข้อง.
#โดนทงพทงนอง #สภโชค #amp #ศภณฏฐ.
[vid_tags]โดนทั้งพี่ทั้งน้อง สุภโชค & ศุภณัฏฐ์
ศุภชัย ตั้งตรงจิตร โย.
เราหวังว่า แบ่งปัน ในหัวข้อ ศุภชัย ตั้งตรงจิตร โย นี้จะ มีคุณค่า มาสู่คุณ ขอบคุณมาก.
ทายาท “ตั้งตรงจิตร” กับก้าวที่กล้า
เมื่อกล้า จึง ก้าว
เจน 4 ยาใบโพธิ์ ลุย ‘เฌอเอม’
จะมีสักกี่คนบนโลกใบนี้ที่ได้ใช้ชีวิตที่ตัวเองออกแบบด้วยตัวเองและกล้าฉีกกรอบเดิมๆ ที่บรรพบุรุษได้วางอนาคตเอาไว้ให้แล้วเป็นอย่างดี โดยเลือกสร้างโลกใบใหม่ด้วยมือของตัวเองแม้ว่าจะล้มลุกคลุกคลานบ้างในช่วงเริ่มต้นแต่ก็สามารถเอาชนะอุปสรรคนานัปการ จนถึงวันนี้เขาสามารถพิสูจน์ให้ครอบครัวได้เห็นว่า สิ่งที่ตัดสินใจและเลือกทำนั้นก็สำเร็จไม่แพ้กับสิ่งที่คนรุ่นก่อนทำไว้เช่นกัน
“อัครพัจน์ ตั้งตรงจิตร” หลายคนน่าจะสะดุดกับนามสกุลนี้ แน่นอน เขาเป็นทายาทผู้ก่อตั้งโรงเรียนชื่อดังอย่างตั้งตรงจิตและสร้างโรงเรียนตั้งตรงจิตเพื่อเป็นสาธารณกุศลกว่า 20 แห่งในกรุงเทพฯ
นอกจากตระกูล “ตั้งตรงจิตร” จะเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนตั้งตรงจิตรพาณิชยการแล้ว ตระกูลนี้ยังเป็นเจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด ยาตราใบโพธิ์ ผู้ผลิตยาเขียวตราใบโพธิ์ ที่ปัจจุบันมีอายุกว่า 100 ปี ยาที่เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้จักเป็นอย่างดี
อัครพัจน์ หรือหนุ่มตาล หนุ่มวัย 42 ปี ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนสามัญ จิสประพัจน์ นับเป็นผู้บริหารที่กล้าฉีกกฏของครอบครัวในฐานะเจเนอเรชั่น 4 ที่ บางคน เลือกที่จะสานฝันของครอบครัว แต่ บางคนเลือกเดินตามความฝันของตัวเอง
หลังจบการศึกษาวิศวกรรรมศาสตร์ สาขาโยธา จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนุ่มตาลได้เหินฟ้าไปเรียนต่อปริญญาโท ด้านการเงินที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งพอดิบพอดีกับการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศไทยหรือในยุคไอเอ็มเอฟ หลังกลับมาได้ไม่นาน ความคิดที่จะทำงานที่อื่นต้องล้มเลิกไปเพราะสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย
ในปี 2544 หนุ่มตาล มีความคิดที่จะนำความรู้เรื่องยาที่บรรพบุรุษมีอยู่และสั่งสมมาต่อยอด จากยาแผนโบราณตราใบโพธิ์ซึ่งเก่าแก่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปมากว่า 100 ปี ก็เริ่มนำมาทดลองผลิตโปรดักส์ใหม่ๆ ประเดิมด้วยยาดมสมุนไพรแท้ ภายใต้แบรนด์ใหม่ ‘เฌอเอม’ แล้วอาศัยชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือของตราใบโพธิ์ เป็นเสมือนใบเบิกทางในการเจาะเข้าช่องทางจำหน่ายต่างๆ ในช่วงแรก และเพิ่มสินค้าใหม่ๆ เป็นระยะ เช่น พิมเสนน้ำ และน้ำมันเหลือง เป็นต้น โดยพยายามคิดค้นพัฒนาสูตรและแพ็คเกจจิ้งให้โดนใจคนรุ่นใหม่
กรรมการผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนสามัญ จิสประพัจน์ บอกเล่าถึงช่วงเวลาและแนวทางการรุกตลาดผลิตภัณฑ์ เฌอเอม ที่มีสินค้าตัวแรกคือยาดม จนขยายไปยังสินค้าอื่นๆ ว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะผ่านการลองผิดลองถูกมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ด้วยความมุมานะ อดทน พยายามคิดหานวัตกรรมใหม่ๆ แพ็กเกจจิ้งใหม่ๆ วิธีการทำตลาดรูปแบบใหม่ๆ ที่โดนใจจนเกิดกระแสบอกต่อทำให้มีวันนี้ ซึ่งถือว่าแบรนด์ เฌอเอม’ ที่มีจุดเด่นคือความเป็นสมุนไพรแท้ในรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่ร่วมสมัยด้วยการใช้หลอดพลาสติก ไม่ขายความโบราณ จนกระทั่งเป็นที่รู้จักในระดับที่น่าพอใจ
สำหรับการเจาะตลาดจะเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายหลักอายุ 25-40 ปี เพราะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและเข้าใจสินค้าได้ง่าย หากอายุต่ำกว่าจะเข้าใจความแตกต่างและจุดแข็งของสินค้ายากกว่า ในขณะที่กลุ่มอายุสูงขึ้นไปจะยึดติดกับยี่ห้อสูง โดยมุ่งเน้นการทดลองใช้ ด้วยการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรงจากการออกบูธงานแสดงสินค้าต่างๆ การแจกสินค้าตัวอย่าง รวมทั้ง การสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับร้านค้ารูปแบบเดิมและโมเดิร์นเทรด เพื่อให้เติบโตได้ยั่งยืนในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
สำหรับการทำตลาดในแต่ละธุรกิจนั้น เขาบอกว่า ที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ จะต้องเข้าถึงตลาดโดยตรง เข้าไปเล่นกับผู้บริโภค เหมือนกับที่เขาต้องหิ้วตะกร้าเดินสายโปรโมทยาดมสมุนไพรเฌอเอม สินค้า ชื่อไทยๆ ที่มีความหมายว่า ต้นไม้ที่มีความอุดมสมบูรณ์ ใช้สัญลักษณ์ใบไม้ 2 ใบ แสดงถึงความเป็นธรรมชาติและเป็นตัวแทนของสมุนไพรไทย
จนถึงปัจจุบัน เฌอเอม มีสินค้าหลากหลาย อาทิ ยาดม ยาหม่อง พิมเสนน้ำ น้ำมันเหลือง การบูรหอม เป็นต้น และไม่เพียงทำตลาดในประเทศเท่านั้น เฌอเอม ยังก้าวออกไปทำตลาดต่างประเทศด้วย แม้จะยังมีปริมาณการส่งออกน้อยแต่ในอนาคตจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยส่วนใหญ่ส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และล่าสุดเตรียมตลาดที่ประเทศจีนอย่างเป็นทางการด้วยจัดตั้งสำนักงานของตัวเองและหากได้รับการตอบรับที่ดีอาจมีการตั้งโรงงานผลิตก็เป็นได้
เมื่อทั้งตลาดในและต่างประเทศได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น หนุ่มตาลกำลังเพิ่มฐานการผลิตที่ปัจจุบันถือว่าเกินกำลังการผลิตด้วยการขยายพื้นที่ในบริเวณเดียวกัน ภายใต้งบลงทุน 50 ล้านบาท เริ่มได้ปีหน้าซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตได้ถึง 200% รองรับความต้องการของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ
ไม่เพียงธุรกิจสมุนไพรเท่านั้นที่หนุ่มคนนี้สนใจ ระหว่างที่กำลังปลุกปั้นแบรนด์ เฌอเอม อยู่นั้น ด้วยความที่เป็นคนรักการเดินทาง บวกกับครอบครัวมีที่ดิน 5 ไร่แถวหัวหิน ครอบครัว “ตั้งตรงจิตร” ที่มีคุณพ่ออัมพร และ คุณแม่ยุพาณี มีลูกชายเพียงคนเดียวในจำนวนลูกๆ สามคน มีไอเดียทำรีสอร์ท จึงเป็นที่มาของ “เฌอ รีสอร์ท (CHER RESORT)” โรงแรมแนวๆ แต่หรูหราสไตล์คอนเทมโพลารี่ ริมหาดชะอำ จ.เพชรบุรี ที่หนุ่มตาลลงทุนลงแรงทั้งออกแบบ ก่อสร้าง ตกแต่ง และบริหารเองกับมือ ภายใต้อีกบริษัทคือ จิสประพัจน์ ดีเวลลอปเมนท์ ด้วยงบลงทุน 200 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจเฌอ รีสอร์ท จำนวน 36 ห้อง
“การทำโรงแรมเป็นความฝันของผม เพราะผมเป็นนักเดินทาง ออกเดินทางไปเห็นสถานที่สวยงามมากมาย ทำให้อยากจะกลับมาทำโรงแรมสวยๆ ในแบบที่ตัวเองชอบบ้าง อีกอย่างผมเรียนจบวิศวะ ผมเป็นวิศวกร มีความรู้ด้านนี้อยู่แล้ว ส่วนตัวก็ชอบศิลปะ ผมเลยตัดสินใจทำรีสอร์ท”
อัครพัจน์ บอกว่า ไฮไลต์ของโรงแรมนี้เหมาะกับคนที่ชื่นชอบงานศิลป์ และมีไลฟ์สไตล์ความเป็นส่วนตัวสูง ค่อนข้างแตกต่างจากโรงแรมทั่วไปเพราะแขกสามารถสร้างแรงบันดาลใจได้จากการเสพงานศิลป์ของศิลปินที่มีชื่อเสียงหลายท่าน
แม้ทั้งสองธุรกิจคือรีสอร์ท กับ ยาดมสมุนไพร จะมีความแตกต่างกันสุดขั้ว แต่หนุ่มตาลมองว่าในแง่ของการบริหารงานกลับไม่แตกต่างกัน โดยเฉพาะการบริหารคนที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เพราะถ้าสามารถสร้างให้เกิดคนเก่ง คนดีในองค์กรก็จะทำให้งานออกมาดี ผลการดำเนินงานก็จะดีตามมา
เช่นเดียวกับธุรกิจรีสอร์ท ที่เขาสามารถจับจุดความสนใจของคนรุ่นใหม่ จนเกิดการบอกเล่าแบบปากต่อปาก ทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ
วันนี้ทั้งรีสอร์ทและยาดมสุมนไพรที่เขาปลุกปั้นมากับมือทั้งสองสามารถที่จะยืนได้ด้วยตัวเองแล้ว ยาดม ไต่เต้าจากยอดขายหลักพันบาทกลายเป็นหลักร้อยล้านบาท แม้ว่าจะใช้เวลานานไปบ้างแต่ก็ไม่ช้าเกินไปเพราะเป็นสิ่งที่เขาสร้างมาด้วยมันสมองและสองมือของเขาเอง
โบว์ หลั่งน้ำตา! เผยเหตุหย่าครั้งแรก-วินาทีบอกลา ปอ ตลอดกาล (ชมคลิป)
โบว์ แวนด้า เผยผ่านรายการ คลับ ฟรายเดย์ โชว์ ถึงความรักที่ผ่านมากับผู้ชายที่ชื่อ ปอ ทฤษฎี สหวงษ์ ตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกัน ไปจนถึงวันสุดท้ายที่อยู่ด้วยกัน ซึ่งความรักของคู่นี้ได้พิสูจน์ให้ใครหลายคนได้เห็นว่า รักแท้ยังมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ เหตุการณ์ที่ผ่านมาต้องขอยกย่องให้แม่โบว์เป็นผู้หญิงอีกคนที่เป็นสาวแกร่งหัวใจเข้มแข็งมากๆ ทำหน้าที่ภรรยาได้ดีที่สุด แม้ว่าวันนี้ สามีจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว แต่ยังสามารถเป็นแม่ที่เข้มแข็ง เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวดูแลลูกชาย น้องออโต้ และลูกสาว น้องมะลิ ได้เป็นอย่างดี โดยโบว์ได้เปิดใจถึงทุกเรื่องในรายการว่า
ย้อนกลับไปเจอกันครั้งแรกกับ ปอ ทฤษฎี?
“เราไม่ได้รู้จักกันมาก่อนค่ะ ปอเป็นเพื่อนกับเพื่อนโบว์ที่มหา’ลัย แล้วเพื่อนคนนี้เค้าจะอายุเยอะกว่าโบว์ประมาณ 2 ปี แล้วพี่ปอกับเพื่อนโบว์คนนี้อยู่หมู่บ้านเดียวกัน วันนั้นเป็นวันเกิดเพื่อน เราก็ได้เจอปอหน้าลิฟต์พอดี ซึ่งตอนนั้นปอยังไม่ได้เข้าวงการ ยังเป็นนักศึกษาปี 1 ค่ะ เราก็มองเค้าทำไมหล่อจัง ทำไมไม่ไปเป็นดารา แล้วเค้าก็มองเรากลับมา เราก็ยิ้มให้กันแค่นั้น ก็ได้กินข้าวกันไปเฮฮากันไปแล้วก็แยกย้ายกัน นั่นก็คือครั้งแรกที่ได้เจอกัน แต่ไม่มีความรู้สึกว่าปิ๊งกันหรืออะไรเลย เพราะตัวเค้าเองก็มีแฟน เราก็มีแฟน ครั้งแรกที่เจอกันก็เลยรู้สึกเหมือนถูกชะตากันแค่นั้น”
ในตอนนั้นนอกจากที่เรามองเห็นเค้าเป็นคนหน้าตาดีแล้ว มีบุคลิกอะไรของเค้าที่เรามองเห็นอีกบ้าง?
“สิ่งที่โบว์ได้เห็นตั้งแต่รู้จักเค้าวันแรก เรารู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เจ๋งมากเลย เขาทำงานทุกรูปแบบ ทั้งแจกใบปลิว ขึ้นไปบนสะพานลอยแจก เราก็มานั่งคิดว่าถ้าเป็นคนอื่น หน้าตาดีขนาดนี้ เค้าจะอายมั้ย แต่ด้วยความเป็นปอ พอเค้าเรียนจบปุ๊บ มีงานอะไรเค้าก็ทำหมดค่ะ แล้วเค้าก็ตั้งใจกับทุกงานที่ทำ ให้เกียรติกับทุกงานที่ทำ ไม่เคยดูถูก ไม่ว่างานนั้นจะได้เงินน้อยหรือได้เงินมาก”
แล้วชีวิตเราก็เดินหน้าต่อไป แต่งงานกับแฟน ใช้ชีวิตคู่ของเราไป?
“ใช่ค่ะ เราก็ห่างหายจากเค้าไปเลย ไม่ได้เจอไม่ได้คุยอะไร แล้วก็จะมารู้ข่าวอีกทีว่า อ๋อ เค้าไปเป็นดาราแล้ว”
แล้วโบว์ใช้ชีวิตครอบครัวอยู่นานไหม?
“หลายปีค่ะ เริ่มคบตั้งแต่แฟนคนเก่าตั้งแต่วันแรกจนถึงวินาทีสุดท้ายที่เราใช้ชีวิตครอบครัวด้วยกัน ก็ประมาณ 8-9 ปี มีลูกชายด้วยกัน 1 คนค่ะ”
แต่ว่าสุดท้ายความสัมพันธ์ในครั้งนั้น กับการใช้ชีวิตครอบครัวในครั้งแรกของเราก็ยุติลง?
“(โบว์พยักหน้า) ค่ะ”
ถามได้ไหม?
“จริงๆ โบว์ว่ามันเป็นเรื่องพื้นฐานของหลายๆ ครอบครัวค่ะ ที่มันมีความไม่เข้าใจกัน หลายๆ ครอบครัวโชคดีก็ปรับจูนเข้าหากันได้ บางครอบครัวโชคร้ายก็ไม่สามารถที่จะปรับจูนกัน ทางสุดท้ายก็คือต้องแยกกัน”
ในครั้งนั้นสภาพจิตใจเราอยู่ในระยะไหน ในการที่เรากลับมาเป็นโสดอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับมีน้องมาด้วย 1 คน?
“ก็เคว้ง รู้สึกเสียใจ เราโทษตัวเองเหมือนทำให้พ่อแม่เสียใจ ทำไมเราต้องเป็นแบบนี้ ทำไมเรารักษาครอบครัวไว้ไม่ได้ แต่ด้วยทั้งหมดทั้งมวล พ่อแม่ก็เข้าใจสิ่งที่เราเป็นมาตลอด”
แล้วผู้ชายที่เราหายไป 8-9 ปี ไม่ได้ติดต่อกลับมา แล้วเค้าก็ดันโทรติดต่อกลับมาในวันหนึ่ง?
“หลายปีค่ะ พอหลังจากเราเลิกกับครอบครัวแรก 3 ปีได้ค่ะ ก็โทรมา ซึ่งเราไม่มีเบอร์กัน ไม่เคยเดินสวนกัน ตอนนั้นเค้าดังแล้วเป็นพระเอกเรียบร้อยแล้ว เค้าโทรมา เราก็ไม่ได้เมมเบอร์ไว้นะคะ คำแรกที่เค้าถามเลย คือ เป็นยังไงบ้าง เราก็ถามกลับ ใครอ่ะ เค้าก็บอกว่า ปอไง จำไม่ได้เหรอ เราก็ถามกลับ ปอไหน คือเราก็ไม่คิดว่าเค้าจะโทรมาหาเราอีก เค้าก็บอกว่า ก็ปอไง ปอในหมู่บ้าน เค้าก็ถามเราปกติค่ะ เป็นยังไง ดีรึยัง โอเคมั้ย”
แปลว่าเค้าก็รู้เรื่องราวของเรา?
“รู้หมดค่ะ ซึ่งเค้าไปรู้มาจากไหน เราก็ไม่รู้ รู้ละเอียดด้วย คงจะรู้มาจากเพื่อนอีกทีหนึ่ง”
ความรู้สึกเราเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้เจอกันนานมาก แล้วได้ยินเสียงนี้?
“แปลกใจค่ะ เพราะปกติปอไม่ค่อยโทรหาใคร ไม่ค่อยอยากรู้เรื่องใคร ทีนี้พอเค้าเล่ามา เราก็ถามว่ารู้จากไหน เค้าบอกมีสายสืบละกัน เราก็บอกดีขึ้นแล้ว ใช้ชีวิตปกติแล้ว เค้าก็ดีใจกับเราด้วย”
โบว์เคยถามเค้าไหมว่า ในช่วงที่ไม่ได้เจอกัน อะไรทำให้เค้าสนใจมาตามติดชีวิตเราขนาดนั้น?
“เคยมานั่งคุยตอนร่วมครอบครัวกันแล้ว มีมะลิแล้ว เคยถามเค้าว่า ถามจริงๆเหอะชอบโบว์ตรงไหน แล้วเค้าก็บอกว่าเค้าไม่รู้ แต่รู้แค่ว่าเค้าเห็นเราแล้วเค้าถูกชะตา เค้าคุยกับโบว์แล้วเค้ารู้เรื่อง พอคุยแล้วเค้ามีรอยยิ้ม หัวเราะได้”
มีข่าวบางกระแสบอกว่า สามีเก่าหรือความรักครั้งเก่าของเรา เป็นเพื่อนกับปอ?
“ไม่ ไม่ค่ะ แทบจะไม่ค่อยได้เจอกันด้วย”
หลังจากวันนั้นที่เค้าโทรมา เรารู้เลยไหมว่ามันต้องมีอะไรแปลกๆ?
“ไม่กล้าคิด คือถามว่ามันแวบๆ เข้ามา เอ้ย เค้าโทรมา ไม่ค่อยมีนิสัยแบบนี้ แล้วเราห่างกันไปตั้งหลายปีแล้ว แล้วหายไปและโทรมา เอ๊ะ คิดอะไรรึเปล่า แต่ใจเราไม่กล้าคิด ไม่หรอก คงจะเป็นเพื่อนที่เคยคุยกัน ถามสารทุกข์สุกดิบกัน”
ไม่กล้าคิดเพราะอะไร?
“ด้วยหลายๆ อย่างค่ะ ในเรื่องของความที่เค้าเป็นพระเอกแล้ว และเราเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ผิดหวังจากครอบครัวแรก แล้วก็มีลูกติดมา ไม่กล้าคิดถึงขนาดที่เค้าจะชอบเรา คงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว และหลังจากครั้งแรกที่เค้าโทรมา ก็โทรมาเรื่อยๆ ค่ะ วันเว้นวันบ้าง เกือบทุกวันบ้าง ทีนี้ก็ผิดปกติแล้ว นิสัยปอไม่ใช่แบบนี้ จะคุยกับใครยากมาก เราก็โทรคุยกันเรื่อยๆ ค่ะ โทรคุยจนเค้านัดกินข้าว เค้าชวนเราไปกินข้าว เราก็บอกว่าจะไปยังไงเดี๋ยวคนจะเห็น เค้าก็ตอบกลับมาว่า จะกลัวอะไร เราก็บอกปอว่า ถ้าปอไปกับคนอื่นก็คงจะโอเคกว่านี้ แต่ถ้าไปกับโบว์ แล้วคนถ่ายรูปได้ แล้วมีคนขุดประวัติโบว์ขึ้นมา เดี๋ยวมันจะเป็นเรื่อง แล้วมันจะกระทบปอด้วย เค้าก็บอกว่าไปๆ เราก็เลือกร้านเอง ไปเลือกร้านที่ไม่มีคนเลย แบบคนน้อยหรืออะไรอย่างนี้ แล้วก็ไปนั่งหลืบๆ เอา คุยกันจนกลับบ้านก็ไม่มีอะไร ก็ยังโทรมาอยู่ แล้วอีกวันก็มารับเหมือนเดิม แล้วเค้าก็ถามรู้ใช่มั้ยว่า ปอชอบโบว์”
เป็นการสารภาพรักง่ายๆ มาก?
“ง่ายมากแต่มันเจ็บปวดมาก มันดีใจนะคะ แต่ว่ามันเจ็บที่ใจมากกว่า มันไม่มีอะไรที่มันเป็นไปได้เลยค่ะ”
ทำไมโบว์ถึงคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้?
“เค้าเป็นพระเอก และเราก็เป็นแม่ม่ายลูกติด ด้วยหลายคนก็รู้ว่า ความเป็นสังคมยังไม่ได้รับตรงนี้มากเท่าไร”
ปอถามกลับไหมว่า โบว์ชอบปอรึเปล่า?
“โบว์ก็นิ่งไปพักหนึ่ง แล้วโบว์ว่าไง เราก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ เค้าถามว่าทำไมเป็นไปไม่ได้ เราบอก ปอก็รู้ เค้าบอก โบว์ก็สู้ดิ โบว์ก็หันไปมองเค้าแล้วบอก อย่าพูดอะไรเล่นๆ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ปอพูด แต่ปอชอบ ปอจะลองดู แล้วอยู่ที่โบว์จะลองมั้ย แต่ตอนนั้นเราไม่มีใจที่อยากจะลองค่ะ เพราะมองไปทางไหนมันก็ไม่มีทาง”
ถึงขั้นต้องหนี คือเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ หักซิม ย้ายบ้าน?
“ก็เริ่มจะสนิทกัน มีความรักกันมากขึ้นในทุกๆ วันที่เจอ มานั่งคิดหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่พี่ปอ ญาติพี่น้องพี่ปอ หน้าที่การงานเค้า และอะไรหลายๆ อย่าง เราอย่าเอาตัวเราไปยุ่งเลย เพราะว่าเราไม่รู้หรอกว่าวันหนึ่งถ้าเราเข้าไป เราไม่ใช่ผู้หญิงที่เพอร์เฟกต์ ถ้าวันหนึ่งมีข่าวแม่ม่ายลูกติด โบว์ไม่อยากให้มีอะไรไปสะกิดกับหน้าที่การงานเค้าว่า เพราะผู้หญิงคนนี้ฉุด ผู้หญิงคนนี้ตัวซวย ก่อนหน้านั้นมันมีคอมเมนต์ค่ะ คือพอจะมีคนทราบ ทุกวันจะมีคนด่าหยาบๆ คายๆ เรานั่งอ่านไปเราก็ร้องไห้ไป ด่าในโซเชียลค่ะว่าทิ้งสามีมา ทิ้งลูกมาเอาดารา เราก็ร้องไห้เกือบทุกวัน จนเรามานั่งคิดพอเถอะ เค้าไม่ถอย เราถอยเองก็ได้ง่ายๆ แต่เค้าก็เต็มที่ตลอดค่ะ เราห่วงเค้า ห่วงเรื่องงานเค้า ชีวิตเค้ารักเรื่องงานกับพ่อกับแม่มาก ความรู้สึกคุณพ่อคุณแม่เค้าแน่นอนไม่ผิดค่ะ เค้าอยากให้ลูกได้อะไรที่ดีๆ สิ่งดีๆ ให้กับลูก ก็เลยมานั่งทบทวนวันนี้สุดท้าย เดี๋ยวเราเจอกัน ก็ยังให้เค้ามารับ ไปกินข้าว สังสรรค์เฮฮากันเหมือนเดิม เสร็จกลับบ้าน โบว์บอกจอดที่เดิมเดี๋ยวลงตรงนี้ เค้าบอกเดี๋ยววันศุกร์เจอกันนะ วันศุกร์ปอว่าง เราก็โอเค เดี๋ยวเจอกัน แต่ตอนที่เราโบกมือบ๊ายบายมือเราสั่น บ๊ายบายเสร็จเราก็ปิดเครื่อง ทิ้งซิมเลย แล้วก็ยืนร้องไห้ตรงนั้นเลยค่ะ แบบไม่อายใครแล้วคนก็หันมามอง ร้องไห้แบบวันสุดท้ายแล้ว (ร้องไห้น้ำตาไหล) แล้วเค้าก็ไป เราก็โอเคไม่เป็นไร ก็เดินกลับบ้าน พอกลับบ้านเสร็จก็ย้ายของเลยค่ะ ย้ายของหนี เพราะว่าทำใจไม่ได้ค่ะ พอเรากลับบ้านต้องผ่านตรงนี้ ตรงที่ปอมาส่งเรา ทำใจไม่ได้ก็เลยหนีไปเลย”
ย้ายไปอยู่กับใคร?
“ไปอยู่กับพี่สาวค่ะ บอกเค้าว่าเหงา ขอมาอยู่ด้วยนะ คือตอนที่โบว์คบกับปอ ไม่มีใครรู้เลย เก็บไว้คนเดียว”
บางคนอาจจะมองว่าทำไมต้องทำขนาดนั้น?
“เพราะโบว์รักพี่ปอ เราอยากให้เค้าได้อะไรดีๆ กับชีวิต”
คิดไหมว่า เราทำอย่างนี้เค้าจะทำยังไง เค้าจะตามหาเราไหม?
“ใจคิดว่า เขาคงไม่หนักกว่าเรา เพราะว่าเค้าอยู่ในวงการเดี๋ยวคงไปเจอคนนั้นคนนี้ เพราะคนในวงการสวยๆ เยอะ ตอนนั้นไม่ดูทีวีเลย กลัวเห็นเค้า แล้วก็ฟังแต่เพลงเกาหลี เพราะแปลไม่ได้”
เพราะเราเคยผิดหวังมาก่อน เราเลยตีค่าราคาตัวเองต่ำไปไหม?
“พี่ปอด่าโบว์ทุกวัน เวลาโบว์พูดว่าโบว์มีตำหนิ เค้าจะด่าโบว์ แล้วพูดว่าทำไมถึงพูดจาแบบนี้ ไม่ชอบให้พูดแบบนี้ บอกคนเราทุกคนมันมีค่าในชีวิตทุกคนแหละ โบว์รู้สึกตัวเองมีค่า เวลาเราทำอะไรเราทำเต็มที่ แต่ว่าอย่างเดียวคือกับปอ โบว์แค่รู้สึกว่าไม่เหมาะสมกับปอแค่นั้นเอง”
แล้วเค้ากลับเข้ามาในชีวิตของเรายังไง นานไหมที่เค้าใช้เวลาในการหาเรา?
“เวลาผ่านไปเกือบปีค่ะ”
มีสักนิดไหมที่เราแบบรอเค้า มองหาเค้า?
“รอทุกวัน แต่ก็หนี ช่วงนั้นไม่ใช้โทรศัพท์เลยค่ะ เพราะไม่กล้าใช้ กลัวจะดูแต่โทรศัพท์”
เค้าเข้ามาในชีวิตเรายังไง ถึงตามเจอ?
“วันนั้นทำงานอยู่ เพื่อนก็บอกว่าโทรศัพท์ค่ะ เราก็ไปรับ แล้วถามว่าติดต่อเรื่องอะไรคะ เพราะตอนนั้นเป็นประชาสัมพันธ์อยู่ที่ทำงานค่ะ ประโยคแรกก็คือ จะให้เข้าไปหรือจะออกมาเอง เสียงเข้มมาเลย เราถามกลับว่าอยู่ไหน เค้าบอกอยู่หน้าประตู เราก็บอกอยู่ตรงนั้นแหละ แล้วโบว์ก็เลยวาง และไปเคลียร์กันข้างนอก เค้าก็ถามเราว่า หนีทำไม รู้มั้ยกว่าจะตามเจอ เราถามตามเจอได้ไง เค้าบอกอย่ามารู้เลย เนี่ยโทรหาพ่อหาแม่หมด คือเค้ามีลิสต์หมดแล้วก็ไล่โทรว่าอันไหนเบอร์โบว์ หลังจากนั้นก็คุยแล้วลองคบกันอีกครั้ง”
“พอคบกันแล้ว มีน้อง โบว์ก็ยังใช้ชีวิตการตั้งท้องมะลิ ก็อยู่คนเดียว ครอบครัวอะไรรู้หมดแล้วค่ะ แต่เวลาไปข้างนอกเค้าก็อยากไปกับโบว์แหละ โบว์ก็ไปทั้งตั้งท้อง ก็ไปกินข้าวกัน เค้ากินเสร็จก็เดินออกแล้วไปเจอกันที่รถเลย”
ทั้งหมดเป็นความตั้งใจของน้องโบว์เองว่าให้ปิดไปเรื่อยๆก่อน แล้วครอบครัวเค้าว่ายังไง เค้าพาเราไปแนะนำกับครอบครัวยังไงบ้าง?
“ต้องบอกก่อนค่ะว่า โบว์โชคดีมากนะคะ ที่เจอคุณพ่อกับคุณแม่พี่ปอ ท่านเป็นคนที่น่ารักมาก แต่ ณ ตอนแรกอย่างที่บอกไปว่า การเจอกันครั้งแรกมันไม่ได้สวยงาม คุณแม่คุณพ่อจะเฉยๆ อยู่แล้วค่ะ แล้วตัวโบว์เองจะเป็นคนที่แข็งๆ หน่อย พี่ปอจะพยายามให้โบว์ทำทุกอย่าง ให้โบว์อยู่กับคุณแม่ลำพัง คือพยายามให้โบว์กับแม่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตามลำพัง แต่พอนานๆ ไป เราสู้กัน เราทำให้เห็นว่าไม่ได้มีอะไรที่แย่ มันมีแต่ดีขึ้น คุณแม่เขาก็เลยบอกว่า ถ้าปอรักใคร แม่ก็รักคนนั้น ด้วยความที่ว่าครอบครัวสหวงษ์ใช้ชีวิตง่ายๆ บ้านๆ แล้วตัวเราก็ใช้ชีวิตแบบธรรมดาค่ะ มันก็เลยเข้ากันได้ดี”
ประเด็นที่อยู่ในใจเรา เราเคยมีครอบครัวมาแล้ว เรามีน้องมาด้วย 1 คน เค้าว่ายังไงบ้าง?
“เคยคุยกับคุณแม่ คุณแม่ก็บอกว่า จริงๆ ก็เคยแอบคิดนิดนึงว่าจะได้เหรอ แต่พอทุกอย่างโอเค ส่วนลูกอีกคนหนึ่งคือน้องออโต้นะคะ ก็ใช้ชีวิตอยู่กับคุณตาคุณยายที่โน่น แล้วก็ทุกอย่างก็ไปกันได้ดีหมดน่ะค่ะ ตัวพี่ปอเองก็เจอออโต้ประจำอยู่แล้ว เวลาไปหัวหินก็จะไปหา ก็คุยปกติ เล่นกันปกติ เข้ากันได้ดีค่ะ”
สุดท้ายก็ตัดสินใจว่า แต่งงานกันเลย ทำให้ถูกต้อง และจดทะเบียนกันด้วย?
“ค่ะ คือจริงๆ มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมากๆ พี่ปอก็บอก เออ มันเกือบจะสมบูรณ์กันละเนอะ มีลูกกันมั้ย เราบอก มีได้ยังไงปอ ปอยังทำงานตรงนี้อยู่ ปอจะมีได้ยังไง ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย เราไม่ได้ปิดใคร แต่ไม่มีใครรู้ต่างหาก เราก็ทำพิธีทั้งสองฝ่าย ให้รู้สึกว่าปอให้เกียรติโบว์ แล้วญาติก็มากัน กินข้าวแค่นั้นค่ะ ซึ่งตอนนี้สื่อก็ไม่รู้เลย”
เรากลัวไหมว่าจะมีสื่อออกไป เพราะทั้งงานอ่ะ?
“ทั้งงานมีกล้องแค่ตัวเดียวค่ะ ก็ขอความร่วมมือทุกท่านค่ะ (หัวเราะ) ก็ไม่มีหลุดออกไปค่ะ”
เอาจริงๆ ตั้งใจจะปิดไปถึงเมื่อไหร่ นี่แต่งแล้วนะ?
“ก็เลยใช้ชีวิตมาเรื่อยๆ ค่ะ มาเรื่อยๆ จนตัวเค้าพูดว่า ปอไม่ไหวแล้ว ปออยากอุ้มลูกอ่ะโบว์ อยากอุ้มลูกไปเที่ยว อยากอุ้มลูกถ่ายรูปลงเฟซบุ๊กบ้าง เพื่อนเค้าก็มีลูก วันๆ ก็ดูแต่รูปลูกเพื่อน แล้วก็หันไปมองมะลิ ของเราก็มี ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวสิ้นปีช่วงปลายปี มะลิเริ่มโตแล้วนะ เราเริ่มจูงมือลูกได้แล้ว เดี๋ยวเราจัดงานเลี้ยงเล็กๆ เราก็เชิญผู้ใหญ่ เชิญสื่อมาดูความน่ารักของลูกเราบ้าง”
ก็คือความตั้งใจในช่วงปลายปีที่แล้ว?
“ปี 2559 ค่ะ”
ความสัมพันธ์ของเค้ากับออโต้เป็นยังไง?
“ก็เล่นกันแรงๆ เล่นกันอย่างลูกผู้ชายได้ เค้าบอกว่า ถ้าเรียกพ่อได้ก็เรียกพ่อเลยนะลูก ออโต้ก็บอกว่า ครับพ่อ แล้วพี่ปอเค้าก็น้ำตาซึม เค้าก็พูดกับออโต้ว่า เค้าจะเลี้ยงให้ดีที่สุด”
แล้วความตั้งใจที่จะจัดงานเล็กๆ มีมะลิเดินถือดอกไม้ แล้วมีออโต้เดินข้าง ความหวังที่จะเปิดตัวครอบครัวทั้ง 4 คน?
“จริงๆ พี่ปอเค้าไม่ได้เป็นคนที่อยากมีงานแต่งงานใหญ่ๆ เค้าบอกว่าทำไมต้องมีงานใหญ่ๆ ก็แค่เล็กๆ แล้วสิ่งสำคัญที่สุดคือ เค้ารักมะลิมาก แล้วก็วันสำคัญของพ่อกับแม่เค้า มะลิต้องอยู่ในงาน เค้าวางไว้หมดเลยค่ะ ว่าจะทำงานออกมายังไง เป็นแค่คิดไว้เฉยๆ ค่ะ”
จนมามีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ปอเริ่มมาป่วย เค้ามีเหตุการณ์หรืออาการยังไง?
“เค้ามีไข้ธรรมดาเลยค่ะ คือวันนั้นมะลิป่วย แล้วเราก็ไปเฝ้าลูกกัน เก็บของไปเฝ้าลูกปุ๊บ เฝ้าได้ประมาณ 2-3 วันค่ะ แล้วพี่ปอก็ไข้ขึ้นตอนกลางคืน เราบอกปอไปหาหมอมั้ย ไปตรวจ เค้าบอกไม่เป็นไร เค้าอยู่ได้ พอตรวจแล้วเป็นไข้เลือดออกนะครับ ผลออกมา คุณปอจะแยกห้องมั้ย เค้าบอกไม่เอา ผมจะอยู่กับลูก ก็อยู่ได้ประมาณ 3 วัน อยู่ๆ ต้องเข้าไอซียู แล้วทรุดเลยค่ะ ทรุดจนโบว์ก็ย้ายโรงพยาบาลเลยค่ะ พอย้ายโรงพยาบาลก็ไปที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ตอนนั้นเราก็ยังรู้สึกพอเค้าป่วยเดี๋ยวก็หาย เพราะอยู่ที่โรงพยาบาล ก้ไม่ได้อะไร พอวันที่ 3 ต้องเข้าไอซียูก็เริ่มใจไม่ดีแล้ว เสร็จปุ๊บเราก็บอกไปโรงพยาบาลรามาเลยแล้วกัน คุณอาก็รู้จักคุณหมอด้วยค่ะ ก็เลยย้ายไป เราก็ใจชื้นขึ้นว่าคงดีขึ้นแล้วแหละ เราก็กลับบ้านนอน พอตอนเช้า 8 โมง หมอโทรมาบอกให้เราไปโรงพยาบาลด่วน คุณปอไม่ค่อยไหว เราก็ไปที่โรงพยาบาล แล้วพอเสร็จปุ๊บคุยไปคุยมาตอนนั้น พี่ปอหยุดหายใจ ปั๊มหัวใจขึ้น ก่อนหน้าที่จะปั๊มหัวใจ โบว์รู้แล้วว่า คุณหมอบอกว่าไม่รอดแล้ว แล้วช่วงนั้นโบว์ก็ร้องไห้ จนน็อกไปเลยค่ะ สะดุ้งตื่นมาตี 2 ก็เข้าชะโงกหน้าไปดูห้องซีซียู ก็ยังอยู่ใช่มั้ย พี่สาวบอกโบว์ยังอยู่ พอเราน็อกแล้วสะดุ้งตื่นก็ไปเกาะประตูดูว่าพยาบาลยังนั่งเฉยๆ มั้ย ถ้าพยาบาลวิ่งนี่ไม่ได้แล้ว”
พอทรุดลงเพราะไข้เลือดออก คุณหมออธิบายเราว่ายังไงบ้าง?
“ก็พี่ปอเหมือนกับโดนไข้เลือดออกที่สายพันธุ์มันแรงมาก แล้วก็ด้วยภาวะต่างๆ ภูมิคุ้มกันต่างๆ พี่ปอเค้าก็สู้กับโรคนี้ จนไข้เลือดออกมันดีดตัวไปแล้ว แต่ว่าภูมิคุ้มกันพี่ปอหมดแล้ว แล้วตอนนั้นภาวะแทรกซ้อนมากค่ะ เหมือนเซลล์เม็ดเลือดขาวมันทำงานเองไม่ได้ เซลล์ร่างกายกินกันเอง ต่อต้านกันเอง ยาก็พยายามควานหาจากทั่วโลก คุณหมอที่รามาก็พยายามทุกอย่าง อาการนี่วันต่อวัน”
ในช่วงนั้นมีหลายข่าวที่เข้ามาหาเรา เป็นยังไงบ้าง?
“ตอนนั้นไม่ได้สนใจข่าวอะไรเลย เพราะว่า ณ เวลานั้นใจเราไปอยู่ที่พี่ปอตลอด คือทำยังไงก็ได้บอกตัวเองว่า ห้ามป่วย ห้ามล้ม ห้ามเป็นอะไรเด็ดขาดในช่วงนี้ เพราะว่าไหนจะคุณพ่อคุณแม่พี่ปออีก เราก็เซฟตัวเองทุกอย่าง แม้กระทั่งผ้าปิดปาก ก็มีแว่วเข้ามาว่า ปากเบี้ยวเหรอ เป็นอะไร สิวขึ้นเหรอ เราก็ไม่ได้สนใจ เพราะว่า ณ วันหนึ่งเค้าไม่ได้มาอยู่ตรงเรา เค้าไม่รู้สึก และถามว่าเอาลูกมาทำไม เอามาโชว์สื่อเหรอ ณ วันนั้นที่โบว์เอาลูกมา หมอเรียกโบว์เข้าไปพูด แล้วก็บอกกับโบว์ว่า คุณโบว์ครับ คุณปอไม่รอด โบว์ได้ยินคำนี้ตั้งแต่วันที่ 2 แล้วค่ะว่าไม่รอด แต่กลุ่มคุณหมอที่รักษาก็พยายามเค้าบอกว่า ถ้าสมองพี่ปอ 100% เค้าจะไม่ยอม โบว์ก็บอกตราบใดที่พี่ปอหายใจอยู่ ก็ไม่ยอมเหมือนกัน ก็เลยสู้กันมา ทุกเช้าโบว์ตื่นขึ้นมา ก็จะวิ่งไปหาหมอก่อน คำแรกที่ถามเลยว่า พี่ปอรอดมั้ยคะ หมอก็จะบอกว่า รอดครับ ชั่วโมงนี้รอด แต่ชั่วโมงต่อไปผมไม่รู้นะครับคุณโบว์ ก็บอกไม่เป็นไรค่ะ ชั่วโมงนี้รอดก็ยังดีค่ะ 70 วัน 15 ครั้งที่หมอเรียกไปทำใจ ที่เราเอาน้องมะลิไปโรงพยาบาลเพราะความรู้สึกอยากให้อยู่กับพ่อ โบว์มีความรู้สึกว่า ถ้าพี่ปอจะไป ถ้าพี่ปอจะไม่ได้อยู่กับเรา ทุกคนต้องรู้ว่านี่คือลูกของ ปอ ทฤษฎี สหวงษ์”
“คือตอนที่เค้านอนป่วย เค้ามีสติอยู่ครบ ปอเค้าใส่ท่อช่วยหายใจ แล้วโบว์บอกว่า ถ้าโบว์พูดอะไร แล้วปอรู้เรื่อง ให้กระพริบตา แล้ววันพ่อเค้าได้ถอดเครื่องช่วยหายใจ แล้วเราก็รู้สึกดีใจมาก มันเป็นสัญญาณที่ดี ช่วงนั้นเค้าจะพยายามพูด เค้าจะมีเสียง ครับๆ แต่คำที่หลุดออกมาที่สุดคืออยากกลับบ้าน ได้ยิ้มได้คุยช่วงนั้น ถอดเสร็จประมาณ 5 วัน ก็ใส่กลับเข้าไปเหมือนเดิม หัวใจก็จะสลายเหมือนเดิม ในวันที่หมอบอกว่า ไม่ไหวอีกแล้ว”
สิ่งที่ทำให้ไม่ไหวคือผลจากไข้เลือดออก?
“คือไข้เลือดออกมันเคลียร์ไปหมดแล้ว แต่ทีนี้ช่วงระหว่างภูมิคุ้มกันพี่ปอไม่ต่อสู้กับเจ้าโรคนี้มาก จนพอมันเคลียร์ไปแล้ว พี่ปอไม่มีภูมิต้านทานกับภาวะแทรกซ้อนแล้ว เพราะว่าคนนอนอยู่บนเตียงนานๆ สายนั่นนี่มันมีภาวะการติดเชื้อมาได้ง่ายมาก”
ตอนที่มีข่าวตัดขามีหลายกระแสมาก?
“คุณหมอเค้าก็ตรวจหาเชื้อ ว่าเป็นกลุ่มเชื้ออยู่ตรงไหนได้บ้าง แล้วก็วินิจฉัยมาว่า น่าจะอยู่ที่เท้าซ้าย ก็เลยตัดใจว่าจะต้องตัด เพื่อที่จะคุมเชื้อเพื่อไม่ให้มันกระจายเข้ามาในตัวอีก ก่อนตัดคุณหมอเรียกเข้าไปคุย เราก็ใจสลายไปแล้ว แต่ไม่เป็นไร อาจจะแค่ต้องตัด ผ่านมา 2 วัน ตอนเช้ารู้สึกอาจจะต้องผ่าตัดปอด วันนั้นโบว์ไปทำบุญ แม่โทรมาบอกว่า พี่ปอจะต้องตัดปอดนะ โบว์ก็รีบกลับเข้ามา หมอก็บอกให้โบว์เข้าไปในห้อง อาจจะ 50-50 หรืออาจะ 70-30 โบว์ถาม 70 นี่อะไรคะ เค้าบอก เสียชีวิตครับ ทุกครั้งที่ผ่าใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง เราก็นั่งอยู่อย่างนั้น พอออกมาก็วิ่งไปหาหมอก่อน หมอบอกโอเคครับ เราก็ใจชื้นแล้ว ตอนเย็นผ่าตัดขาอีก หมอก็บอก 70-30 เหมือนเดิมนะครับ หรืออาจจะ 90-10 นะครับ เราก็ไม่เป็นไรค่ะหมอ ก็นั่งรออย่างนั้น”
โบว์ไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าปอเลย?
“ถ้าอยู่ในห้องไม่เคยค่ะ ถ้าเข้าไปหาเค้าก็จะไม่เคย ถ้าจะร้องก็จะลงไปนั่งข้างล่างเตียงค่ะ แล้วก็เช็ดๆ แล้วก็ขึ้นมาใหม่ ก็จะพยายามเล่นหัวเราะกับเค้า”
ตอนที่ต้องตัดขาคุณปอรู้ไหม?
“มันจะมีช่วงหนึ่งที่พี่ปอดีขึ้น แล้วคุณหมอที่อยู่กับโบว์ประจำ จะดูแลเรื่องสภาพจิตใจโบว์ด้วย เค้าบอกวันนี้พี่ปอดีขึ้นแล้วนะ เราจะต้องรายงานให้คนไข้ทราบทั้งหมด ว่าตัดขาเพราะอะไร เพราะถ้าพี่ปอมาเห็นเอง สภาพจิตใจไม่ได้ หมอเค้าจะเล่าตั้งแต่เข้ามาวันแรกเลยค่ะ ว่าตัดขาเพราะอะไร ทำให้ดูดูน้อยลงไปเลยการตัดขาสำหรับการยื้อชีวิตปอไว้ เราก็โอเค ก็ยืนอยู่หน้าห้อง หมอก็คุยๆ พี่ปอก็ครับๆ แล้วเค้าก็เรียกเราเข้าไป เราก็ถามหมอว่าไม่รู้เรื่องเหรอหมอ หมอก็บอกไม่แน่ใจว่ารู้เรื่องมั้ย เพราะว่าเค้าก็ครับๆ อยู่อย่างนี้ โบว์ก็หันไปคุยกับปอเค้า แล้วถามว่า ปอครับ หมอคุยอะไรกับปอ ไหนเล่าให้โบว์ฟังหน่อย เค้าก็ค่อยๆ หันมา แล้วพูดว่า ตัดขา โบว์ก็ใจแบบ แล้วตัดด้านไหนครับ เค้าบอกข้างซ้ายครับ เท่านั้นแหละ หมอก็หันหลัง คือหมอซ้าย โบว์ขวา โบว์ก็เลยก้มลงไปกอดเค้า กอดตรงหน้า น้ำตามันไหล เราก็พยายามเช็ด แล้วขึ้นมาก็ยิ้ม ถามเค้าว่า ปอกลัวมั้ย เค้าบอก ไม่ครับ เสียใจมั้ย ไม่ครับ แล้วเค้าก็มองหน้าโบว์บอกอยากกลับบ้าน”
ปอเคยแสดงอาการให้เราได้เห็นบ้างไหม?
“พี่ปอเป็นคนไม่เคยร้องไห้ให้คุณพ่อคุณแม่เห็น แล้วก็ไม่เคยแสดงอาการว่า เค้าเจ็บ เค้าปวด มีวันหนึ่งเค้าปวดมาก และพ่อแม่อยู่ก็คุยกันเล่นกัน แล้วอยู่ๆ พี่ปอเค้าก็หันไปหาแม่แล้วบอกออกไป เราก็รู้แล้ว เลยบอกให้แม่กับพ่อออกไปข้างนอกก่อนนะคะ เดี๋ยวแปบนึง พอพ่อกับแม่ให้หลังไปปุ๊บ เค้าหันมาหาโบว์ น้ำตาเค้าร่วงเต็มเลยเค้าบอกเค้าเจ็บ ก็เลยให้หมอมาช่วยทำอะไรให้หายเจ็บ จน 3 วันก่อนที่เค้าจะไป แม่ก็ออกมาจากห้องพี่ปอ แม่บอกพี่ปอร้องไห้ เราทรุดเลย แบบคิดในใจเลยว่า ไม่ไหวแล้ว เค้าต้องไปแล้ว คือคิดในใจเลยว่า เค้าไปแน่ๆ”
วันที่คุณหมอให้เราทำใจอีกครั้ง?
“วันนั้นรู้สึกเป็นวันที่คุยกับหมอตอนเช้า หมอบอกว่า วันนี้ปอหน้าใสมากเลยนะ เราก็บอก อุ้ย ก็ดีสิหมอ เค้าก็บอก ใช่ มันเป็นสัญญาณที่ดี วันนั้นหมอบอกอาจจะไม่มาแล้ว เพราะไปคุมสอบ สักพักเรานั่งจน 3 ทุ่ม เค้าก็เข้ามา เราก็เอ้ามาทำไม หมอบอกมาดูหน่อย เดี๋ยวจะน้อยใจ เราก็คุยเล่นกันไปนั่นนี่ จนมีโทรศัพท์ดังเข้ามา หมอก็รีบวิ่งเข้าไปเลย โบว์ก็นั่งอยู่ตรงนั้นประมาณ 5 นาที ก็ไม่ไหวแล้ว ก็เลยกดๆ ให้เค้าเปิด พอเปิดเสร็จ ภาพที่เห็นคือพยาบาลวิ่งจะชนกัน เราก็แบบขาก้าวไม่ออกแล้วค่ะ สักพักหันไป เค้าปั๊มหัวใจพี่ปอ ปอ ตื่นๆ อะไรอย่างนี้ เราก็ตัวสั่น ก้าวไม่ออกอยู่อย่างนั้นประมาณ 10 นาที ดูเค้าปั๊มหัวใจพี่ปอ สักพักแม่เดินเข้ามา เราก็กอดแม่เลย แม่ก็พูดอะไรไม่รู้เรื่องแล้ว ก็เลยบอกให้นั่ง พอนั่งเสร็จก็กอดกันรอ รอจนกว่าเค้าจะปั๊มได้ หมอก็วิ่งออกมา โบว์ก็มองหน้าหมอ เลยบอกหมอ ถ้าไม่ไหวก็ไม่เป็นไร พี่ปอเค้าสู้เพื่อเรามามากแล้ว ให้พี่ปอนอนนะ หมอก็มองหน้า โบว์จะเอาอย่างนั้นนะ ก็เลยบอกว่าให้เค้าหลับไปเลย ไม่ต้องให้เค้าตื่นมาฟังใครแล้ว คืนนั้นก็เลยใส่ยานอนหลับให้พี่ปอเค้าหลับไป จนวันรุ่งขึ้นทุกคนครบแล้ว มากันพร้อมแล้ว ก็เลยให้สั่งเสียอะไรกันเรียบร้อย”